โลกอยู่ยาก ! เตือนภัยกระดาษชำระในห้องน้ำ เปิดดูเจอรอยแปลก ๆ แบบนี้ อย่าใช้

          ไวรัลเตือนภัย กระดาษชำระในห้องน้ำสาธารณะ เปิดดูถ้าเจอรอยแปลก ๆ อย่าใช้ รายงานเผยเหตุผลความจริงที่น่ากลัว


          ในห้องน้ำสาธารณะมักจะมีกระดาษชำระเตรียมไว้ให้ใช้ เพื่อความสะอาดของสถานที่ รวมไปถึงสุขอนามัยของผู้ใช้บริการ แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีเรื่องราวที่น่าตกใจไม่น้อย เมื่อมีการเปิดเผยว่า กระดาษชำระในห้องน้ำสาธารณะ อาจจะมีภัยน่ากลัวอย่างที่คาดไม่ถึงซ่อนอยู่

          วันที่ 12 มีนาคม 2568 เว็บไซต์ Sin Chew เผยว่า บนโซเชียลมีเดียได้แชร์คลิปวิดีโอเตือนภัยการใช้กระดาษชำระในห้องน้ำสาธารณะ โดยให้ระมัดระวังและสังเกตเป็นพิเศษ หากพบว่ามีรอยหรือรูแปลก ๆ อาจเป็นรอยบุบ หรือเป็นรูเล็ก ๆ และอาจมีคราบเลือดติดอยู่ ให้รีบออกห่างโดยทันที เพราะมันอาจจะเป็นร่องรอยของ "เข็มฉีดยา" และทำให้เสี่ยงติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว


          โดยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ช่องยูทูบ YTN ของสถานีโทรทัศน์ข่าวยอนฮับ ในเกาหลีใต้ ได้นำเสนอรายงานเกี่ยวกับประเด็นนี้ โดยได้แชร์คลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่เป็นไวรัลในอินเทอร์เน็ต ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เมื่อแกะดูภายในที่เก็บกระดาษชำระม้วนในห้องน้ำสาธารณะหลายแห่ง พบว่ามีรอยแปลก ๆ เหมือนถูกเข็มจิ้ม และรอยคราบเลือดติดอยู่ ซึ่งบางจุดหากไม่สังเกตให้ดีก็แทบจะมองไม่เห็น

          ดร.เมตซ์เกอร์ (Metzger) แพทย์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงบนโซเชียลมีเดีย ได้ออกมาเตือนในกรณีนี้ โดยชี้ว่า อาจมีการแอบใช้เข็มฉีดยาแบบผิดกฎหมายในห้องน้ำ จากนั้นก็นำเข็มไปจิ้มตรงม้วนกระดาษชำระเพื่อเป็นการทำความสะอาดเข็ม จนทำให้เกิดเป็นรอยในลักษณะตามที่ปรากฏ รวมถึงมีคราบเลือดสกปรกติดอยู่


          ทั้งนี้ แม้ว่าการแพร่เชื้อไวรัสผ่านกระดาษชำระจะพบได้น้อยมาก แต่ก็สามารถมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า หากพบรอยหรือรูแปลก ๆ บนกระดาษชำระ ควรหลีกเลี่ยงการใช้กระดาษชำระนั้น และหากเป็นไปได้ควรพกกระดาษชำระส่วนตัวมาเองจะดีกว่า

          ภายหลังจากคลิปวิดีโอเผยแพร่คำเตือนนี้ถูกแชร์ต่อกันออกไป ก็สร้างความตกตะลึงเป็นกังวลใจให้กับหลายคน ชาวเน็ตเข้าไปคอมเมนต์แสดงความคิดเห็น กล่าวในทำนองว่า "โลกอยู่ยากขึ้นทุกวัน แม้แต่กระดาษชำระยังไม่ปลอดภัย", "เข้าห้องน้ำทุกวันนี้ลำบากมาก ต้องมาคอยนั่งระวังกระดาษชำระ", "หลังจากนี้ฉันต้องพกกระดาษชำระไปเองทุกครั้ง มันน่ากลัวมากจริง ๆ"




ขอบคุณข้อมูลจาก Sin Chew, ETtoday